การเลือกซื้ออุปกรณ์ คอมพิวเตอร์

การเลือกซื้อ ซีพียู(CPU)
วิธีการเลือกซื้อเมนบอร์ด
การเลือกซื้อแรม(RAM)
การเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์
การเลือกซื้อไดรว์ CD/DVD
การเลือกซื้อกราฟิกการ์ด
การเลือกใช้จอมอนิเตอร์
การเลือกซื้อชุดระบายความร้อน(ฮีตซิงค์)


การเลือกซื้อ ซีพียู(CPU)

การเลือกซื้อ ซีพียู(CPU)

สำหรับการเลือกซื้อ ซีพียู ซึ่งเป็นที่ที่สำคัญที่สุดซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงเพราะซีพียูเป็นตัวที่จะกำหนดอุปกรณ์อื่นๆด้วย และเป็นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคอมพิวเตอร์ การที่เครื่องเราจะแรงและเร็วแล้ว ซีพียูเป็นตัวกำหนดหลักแทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นผมจึงขอให้กำหนด สเป็กการซื้อคอมพิวเตอร์ จากตัวซีพียูก่อนะครับ จะขอเรียงลำคับการพิจารณาการเลือกซื้อดั้งต่อไปนี้

1.ความเร็วของ ซีพียู

ความเร็วของซีพียู ซึ่งใช้สัญญาณนาฬิกาเป็นตัวกำหนดนะครับ โดยมีหน่วยเป็น “เฮิรตซ์ (Hz)” ก็คือการที่ซีพียูทำงาน 1 ครั้งต่อ 1 วินาทีนั้นเอง แต่ในปัจจุบันซีพียูนั้นมีความเร็วมากอยู่ในระดับ “กิกะเฮิรตซ์ (GHz)” แล้ว เช่น 1 กิกะเฮิรตซ์ คือซีพียูทำงานได้ถึง 1 พันล้านครั้ง ต่อวินาที ยิ่งมีค่าสัญญาณนาฬิกามากเท่าไหร่ก็สามารถทำงานได้รวดเร็วเท่านั้น เช่น AMD Phenom 9650 2.3GHz

2.หน่วยความจำแคช(Cache)

หน่วยความจำแคชก็เป็นหน่วยความจำหนึ่งที่ประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อ เพราะแคชมีหน้าที่ในการจัดเก็บคำสั่งและข้อมูลที่ได้ใช้บ่อยๆ เพื่อส่งไปยังซีพียู ซึ่งแคชเองทำงานร่วมกับแรมเพื่อเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่าง 2 อุปกรณ์ ให้เชื่อมต่อกันเพราะฉะนั้นแล้วยิ่งมีแคชมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเร็วเท่านั้นด้วย

การทำงานของแคช

ในปัจจุบันเองได้มีการเพิ่มเทคโนโลยี Pre-Fetch ในบางรุ่นจะมี ที่มีแคชถึงระดับ L3 ทำหน้าที่ในการคอยอ่านข้อมูลจากแรมมายังแควตลอกเวลา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น โดยความเร็วทั้ง 3 ระดับดังนี้

แคชระดับที่ 1 (L1) เป็นแคชขนาดเล็ก เป็นแคชที่มีขนาดเล็กที่สุด อยู่แค่ 32-128 KB เท่านั้น และอยู่ใกล้ชิดกับซีพียูมากที่สุด

แคชระดับที่ 2 (L2) จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาเพราะจะทำการเก็บข้อมูลจากแรมเป็นหลัก

แคชระดับที่ 3 (L3) อยู่คั่นกลางระหว่างแรมกับแคช L2 โดยจะมีขนาดใหญ่กว่าเพื่อนซึ่งมีประมาณ 2-8 MB และจะอยู่ใกล้กับบัสเพื่อสามารถที่จะถ่ายโดยข้อมูลไปยังส่วนต่างๆได้ง่ายขึ้น

3.บัส(BUS)

ถือได้ว่ามีความสำคัญเหมือนกัน เพราะ บัสคือ นำไฟฟ้าที่เป็นทางเดินของข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งบัสในคอมพิวเตอร์คือบัสข้อมูล (Data bus) ซึ่งมีหน่วยเป็น เฮิรตซ์ (Hz) จะมีค่า FSB อย่างเช่น FSB 1066 เป็นต้น

4.ซีพียู จากค่ายต่างๆ

สำหรับซีพียูนี้ก็มี 2 ค่าย ใหญ่ที่ผลิตออกมาให้เราได้ใช้กันคือ Intel และ AMD

Intel เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด แล้วยังเป็นผู้ผลิต ซีพียูรายแรกอีกด้วย สำหนับซีพียู ที่ Intel ผลิตนั้นก็มีหลาย รุ่นออกมาให้เลือก และต่างมีเทคโนโลยีที่ต่างกัน ผมจะขอยกตัวอย่าง ซีพียูที่ทาง Intel ผลิตดังนี้คือ

1.CELERON-D

เป็นซีพียูที่อยู่ในตลาดระดับล่าง โดยจะออกแบบให้ใช้กับการทำงานพื้นฐานต่างๆ และมีราคาที่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ไม่ต้องการอะไรมากนัก ใช้โปรแกรมทางด้านพื้นฐานเป็นพอ ทั้ง ดูหนังฟังเพลง หรือแค่เล่นอินเตอร์เน็ต เล่นเกมส์เฟรชบาง สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหาเลยครับ

CELERON

2. CELERON-Duo Core

สำหรับ CELERON-Duo Core นี้ได้พัฒนามาจาก CELERON-D รุ่นเดิม แต่เปลี่ยนมาผลิตจากที่เป็น ซิงเกอร์คอร์มาเป็น ดูอัลคอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การทำงานดีขึ้น

3.INTEL Duo Core

เป็นซีพียูที่มีความเร็วมากกว่า CELERON ตอบสนองการใช้งานได้มากกว่า โดยได้พัฒนาจาก ซีพียูรุ่น Pentiumนั้นเอง โครงสร้างก็เป็นแบบ Duo Core คือมีลักษณะเป็น 2 หัว

4.INTEL CORE 2 DUO

เป็นซีพียูที่พัฒนามาจาก INTEL Duo Core โดยจะมีเลข 2 ก็หมายถึง พัฒนามาเป็นรุ่นที่ 2 นั่นเองครับ โดยจะมีการเพิ่ม L 2 เพิ่มขึ้นจาก Duo Core มีอยู่ 2MB มาเป็น 3MB และมีความเร็วบัสเพิ่มขึ้นด้วย



5.INTEL
CORE 2 QUAD

เป็นซีพียูที่ได้มีการพัฒนาจาก INTEL CORE 2 DUO โดยการนำ INTEL CORE 2 DUO มารวมกันเป็น เป็น 1ตัวได้ทั้งหมดถึง 4 หัวเลย และยังช่วยการใช้พลังงานที่ลดลงกว่า เดิมอีกด้วย



6. CORE 2 QUAD Extreme

เป็นการนำเอา INTEL CORE 2 DUO มารวมตัวกันโดยเป็นการแยกการทำงานโดยอิสระ และมีการแบ่งการทำงาน ของ L2 เป็น 2 ส่วน ซึ่งเป็น ซีพียูทีมีราคมสูงมาก


7.Intel Core i7

เป็นซีพียูที่ ใหม่ล่าสุดที่เริ่มขายแล้ว ซึ่งยังมีราคาที่สูงอยู่ และถือได้ว่าเป็น ซีพียูที่มีความเร็วสูงที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยมีการเพิ่ม แคชระดับ L3 ที่นำมาใช้ถึง 4-8 MB และมีการลองรับ Dual Channel DDR3 เป็นครั้งแรก ซึ่งจะต้องทำงานกับแรม 3 แผงขึ้นไป เพราะฉะนั้นเราต้องใช้แรม 3 แผงเป็นอย่างต่ำ





AMD เป็นผู้ผลิตที่นอกเหนือจาก Intel ที่เข้ามาแย่งตลาดกัน โดยจะมีราคาที่ถูกกว่าเมือเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพ โดยจะมีซีพียูของด้วย AMD ดั้งนี้

1. SEMPRON

Sempron เป็นซีพียูที่อยู่ในตลาดระดับล่างของ AMD เป็นซีพียูที่มาราคาถูกและตอบสนองการใช้งานด้านพื้นฐานต่างๆได้ดี



2. AMD 940 X2

เป็นซีพียู ที่มีความเร็วมากกว่า Sempron ขึ้นมาอีกหน่อย เพรำหรับคนที่ใช้งานพื้นฐานทั่วไปและก็เล่นกราฟิกบาง เป็นหรือเกมส์บ้างพอสมควร ที่ราคาไม่แพง รองรับ HyperTransport



3. PHENOM X3

เค้าบอกว่า 3 หัวดีกว่า 2 หัว ก็เลยได้มีการผลิต 3 หัวออกมาจำหน่วยกัน โดยพัฒนามาจาก CPU AMD 940 X2 เพิ่มมาอีก 1หัว



4. PHENOM X4

สำหรับตัวนี้มีการเพิ่มมาอีก 1 หัวเพื่อเพิ่มไประสิทธิภาพในการทำงานแต่ราคานั้นสูงอยู่แต่ถ้าใครต้องการก็สามารถที่จะซื้อมาได้เลยครับ

HyperTransport เป็นเทคโนโลยีของ AMD ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันได้อย่างอิสระ ระหว่าง คอร์ต่าง ๆ และหน่วยความจำภายในเครื่อง ซึ่งสามารถ ปรับความกว้างของการรับ/ส่งของของข้อมูล เป็นระบบบัสที่พัฒนาขึ้นให้มีประสิทธิภาพสูงกว่า FBS

ตัวอย่างเทคโนโลยีของค่ายต่างๆ

เทคโนโลยี

คุณสมบัติของเทคโนโลยี

Intel

AMD

SSE

3Dnow!

ใช้ในการประมวลผลด้วยคำสั่ง 3 มิติ และช่วยให้ประมวลผลจำนวนมากในเพียงคำสั่งสำเสร็จเดียว

Speed Step

Cool ‘n’Quiet

ช่วยในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าและช่วยลดอุณหภูมิของ CPU

XD Bit

NX Bit

ปกป้องและป้องกันการโจมตีจากโปรแกรมแฝงที่มาเครือข่าย

EM64T

AMD 64

ใช้ในการประมวลผลทางด้าน 64 Bit

ViiV

Live!

ช่วยในการประมวลผลทางด้านมัลติมีเดีย

ตารางของแตกต่างส่วนต่างๆ ของCPU Intel

ซีพียู

บัส

แคช L2

แคช L3

ซ็อกเก็ต

Multi Core

CELERON-D

FSB 800

512 KB

-

LGA 775

-

CELERON-Duo Core

FSB 800

512 KB-1MB

-

LGA 775

รองรับ

Duo Core

FSB 800 -1,066

2 MB

-

LGA 775

รองรับ

CORE 2 DUO

FSB 1,066 -1,333

3-6 MB

-

LGA 775

รองรับ

CORE2 QUAD

FSB 1,333

4-12 MB

-

LGA 775

รองรับ

QUAD Extreme

FSB 1,333

8 MB

-

LGA 775

รองรับ

CORE I7

FSB 1,366

1 MB

8 MB

LGA 1,160 หรือ LGA 1,366

รองรับ

ตารางของแตกต่างส่วนต่างๆ ของCPU AMD

ซีพียู

บัส

แคช L2

แคช L3

ซ็อกเก็ต

Multi Core

SEMPRON LE

2,000

512 K

-

AM 2

-

AMD 940 X2

2,000

512 K

-

AM 2

รองรับ

HENOM X3

512x2 KB

-

AM 2+

รองรับ

PHENOM X4

L2 = 512x4B

2 MB

AM 2+หรือ AM 3

รองรับ

5.งบประมาณ

ในสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของใครบางคน คืองบประมาณนั้นล่ะครับ บางคนอาจจะเป็นอันดับแรกเลยก็ว่าได้ครับ ในปัจจุบันราคาต่ำมากจนแทบบอกได้ว่า ไม่ถึงพันก็มีแต่ก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพที่จะได้รับด้วย เดี๋ยวนี้ซีพียูราคาถูกๆ ก็สามารถทำงานได้หลายอย่างแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกซื้อราคาแพงๆ มาใช้นะครับ

ขึ้นบนสุด


วิธีการเลือกซื้อเมนบอร์ด

วิธีการเลือกซื้อเมนบอร์ด

เมนบอร์ดเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีความสำคัญเช่นกัน เพราะเป็นแผงวงจรที่เชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ภายในทั้งหมด ที่สำคัญจะมีอุปกรณ์ที่สำคัญหลายอย่างที่ติดมาพร้อมกับเมนบอร์ด เพราะฉะนั้นคุณภาพในการใช้งานขึ้นอยู่กับการเลือกซื้อด้วย โดยจะมีขั้นตอนการเลือกซื้อดังต่อไปนี้

1.ซ็อกเก็ต
ซ็อกเก็ตมีตำแหน่งที่ติดตั้ง ซีพียู ซึ่งจะเลือกซ็อกเก็ตแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กันที่เราเลือกซื้อซีพียูด้วย ไม่ว่าจะเป็นซ็อกเก็ตไหนเราก็ต้องที่จะเลือกซีพียูนั้นก่อนครับ ถึงที่จะเลือกในขั้นต่อไปได้ ซึ้งได้ทำการเปรียบเทียวกับการเลือกซื้อ ซีพียู ก่อนหน้านี้แล้ว


2..ในเรื่องซิปเซ็ต

ซิปเซ็ตมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่รองรับเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงรองรับอุปกรณ์ต่างๆด้วย ควนที่จะคำนึงถึงตรงนี้ก่อนครับ ว่าเข้ากับอุปกรณ์อะไรบ้าง โดยจะมีซิปเซตอยู่ 2 แบบก็คือ

- North Bridge
เป็นซิปเซตที่ควบคุมการทำงานที่ควบคุมอุปกรณ์หลักใหญ่ๆ เลยได้แก่ ซีพียู แรมและ สล็อตของการ์อจอด้วย

- South Bridge
เป็นซิปเซต ที่ควบคุมอุปกรณ์ที่นอกเหนือจาก North Bridge ที่ควบคุมอยู่ จะเป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ และสล็อตต่างๆด้วย

การทำงานของซิปเซต


ยี่ห้อของซิปเซต

ยี่ห้อของซิปเซตก็มีความสำคัญเช่นกันเพราะเทคโนโลยีต่างๆ เริ่มต้นจากตรงนี้เพราะฉะนั้นแล้วแต่ล่ะยี่ห้องจะมีความสามารต่างกันเช่นกัน จะขอยกตาอย่างผู้ผลิตของซิปเซตต่างๆ ดังนี้

-ของ SiS เป็นซิปที่มีจำหน่ายมานานแล้ว เคยได้รับความนิยมในช่วงหนึ่งและมีราคาค่อยข้างที่จะถูกด้วย แต่ในช่วงหลังมีคู่แข่งที่มีเทคโนโลยีที่เหนือกว่า

-ของ VIA ซึ่งชิปนี้ได้รับความนิยมเมื่อก่อนเช่นกัน แต่ในปัจจุบันก็ยังนิยมใช้อยู่ในเรื่องของเทคโนโลยีแล้วก็ถือว่ายังไม่พัฒนาเท่าที่ควร แต่ก็สามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่งเหมาะสำหรั

บการใช้งานพื้นฐานทั่วไปได้

-ของ Intel สำหรับคนที่ใช้ซีพียูของ Intel เท่านั้น หากเปรียบเทียบแล้วคนที่ซีพียูของอินเทล ต้องขอบอกว่าเป็นซิปเซตที่ดีที่สุด เพราะในเรื่องของเทคโนโลยีแล้ว และก็ประสิทธิภาพการใช้งาน ถืดว่าดีที่สุด

-ของ nVidia ส่วนใหญ่แล้วจะใช้กับซีพียูของ AMD เป็นส่วนมาก และจะเน่นในเรื่องของการสนับสนุนอุปกรณ์ใหม่ๆได้ดีมาก


3.
สล็อกต่างๆ

เป็นสิ่งสำคัญมากในการเลือกซื้อเช่นกัน เพราะว่าจะเลือกแบบมี ที่ใส่แรม หรือสล็อก PCI มาแค่ไหนขึ้นอยู่กับความต้องการว่าจะมีอุปกรณ์ใดมาเสริมอีกหรือไม่


4.หน่วยความจำรอมไบออส

ไบออส BIOS (Basic Input Output System) หรืออาจเรียกว่าซีมอส (CMOS) เป็นชิพหน่วยความจำชนิด หนึ่งที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล และโปรแกรมขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการบูตของระบบคอมพิวเตอร์ โดยในอดีต ส่วนของชิพรอมไบออสจะประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ชิพไบออส และชิพซีมอส ซึ่งชิพซีไปออสจะทำหน้าที่ เก็บข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต่อการบูตของระบบคอมพิวเตอร์ ส่วนชิพซีมอสจะทำหน้าที่ เก็บโปรแกรมขนาดเล็ก ที่ใช้ในการบูตระบบ และสามารถเปลี่ยนข้อมูลบางส่วนภายในชิพได้ ชิพไบออสใช้พื้นฐานเทคโนโลยีของรอม ส่วนชิพซีมอสจะใช้เทคโนโลยีของแรม


5.ยี่ห้อ

ในปัจจุบันมียี่ห้อต่างๆมากมายที่ ผลิตเมนบอร์ดขึ้นมาใช้งานเป็นจำนวนมากหลายยี่ห้อ เราควรที่จะคำนึงถึงประสิทธิภาพเป็นสำคัญ เพราะบางยี่ห้ออาจจะราคาถูกแต่ไม่ได้คุณภาพเลย รวมไม่ถึงความเสถียนของเมนบอร์ดด้วย อาจจะไปยังเว็บบอร์ดต่างๆ หรือเว็บที่เค้ารีวิว ให้เรารู้ถึงประสิทธิภาพ รวมไปถึงการสอบถามไปยังคนที่ได้ลองใช้แล้วเป็นอย่าง สมควรซื้อหรือไม่ และการทำงานว่าเป็นอย่างไร และก็การรับประกันจากตัวแทนจำหน่ายด้วย ส่วนมากในปัจจุบันจะรับประกันถึง 3 ปี เพราะในบางครั้งทางร้านเองก็อาจจะไม่สามารให้ข้อมูลได้ตรงกับข้อมูลจริงถ้ายังไงเราควรที่จะหาข้อมูลจากเว็บไซต์ผู้ผลิตโดยตรงจะถูกต้องกว่า

ขึ้นบนสุด


การเลือกซื้อแรม(RAM)

การเลือกซื้อแรม(RAM)

สำหรับแรมผมได้กล่าวไว้แล้วว่ามีหน้าอะไรบ้าง สำหรับแรมก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญเช่นกันเพราะฉะนั้นแล้วเราควรเลือกให้ถูกวิธีด้วย สำหรับขึ้นตอนการเลือกซื้อแรม มีขั้นตอนการเลือกซื้อดังต่อไปนี้

1.ประเภทของแรม

แน่นอนครับสำหรับประเภทของแรมนั้น ก็จะถูกจำกัดด้วยเมนบอร์ดที่เราจะเลือกซื้อเช่นกัน โดยเมนบอร์ดก็จะต้องถูกบังคับจากซิปเซต สำหรับคนที่จะซื้อในขนาดนี้จะมีอยู่ 2 ประเภทที่ผมจะแนะนำนะครับ ซึ่งทั้ง 2 มีความเร็วที่แต่ต่างกัน

1.1 DDR 2

สำหรับ DDR 2 นั้นมีความนิยมเป็นอย่างยิ่งในขนาดนี้ถือเป็นแรมตลาดเลยที่เดียว เพราะในปัจจุบันนี้เมนบอร์ดเองก็สามารถรองรับการทำงานของแรมชนิดนี้ได้หมดแล้ว แล้วราคาในขณะนี้ก็มีราคาที่ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับชนิดอื่นๆ และในเรื่องของความเร็วก็สามารถใช้ได้เร็วมากเลยที่เดียว มีความเร็วตั้งแต่ 400-1,066 MIz ใช้แรงดันไฟฟ้า 1.8 V

1.2 DDR3

เป็นแรมประเภทมี่พึ่งมาใหม่ล่าสุดเลย ซึ่งมีความเร็วสูงสุด ถึง 1,600-2,000 MHz เลยทีเดียวครับ แล้วใช้แรงดันไฟฟ้าแค่เพียง 1.5 V เท่านั้น ถือได้ว่ามีความเร็วสูงกว่าทุกประเภทแต่ปัจจุบันนี้ได้มี DDR4 มาแล้วเอาไว้คราวหน้าตอนที่มีคนใช้เยอะๆ จะมาเล่าให้ฟังนะครับ ส่วนราคาตอนนี้ยังสูงอยู่ แต่ถ้าใครต้องการซื้อหรือมีตังพอไม่ขัด ครับ เพราะว่ากำลังจะเป็นที่นิยมกันแล้ว แต่ต้องดูด้วยว่าเมนบอร์ดของเรานั้นรองรับหรือไม่ เพราะว่ายังมีเมนบอร์ดที่ยังไม่รองรับอีกเยอะครับ ที่สำคัญ DDR3กับ DDR2 ใช้สล็อตเดียวกันไม่ได้เพราะฉะนั้นแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ผิด

ข้อแต่กต่างตรงรอยบากDDR3กับ DDR2


2.หน่วยความจำ

แรมนั้นมีหน่วยความจำหลัก ที่จำเป็นต้องการความจำสูงเพื่อประสิทธิภาพของการทำงานเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย โดยหน่วยความจำของแรมนั้น มีหน่วยเป็น GHz ยิ่งมีความจำมากก็ทำให้เครื่องเราเร็วขึ้นไปด้วย ราคมของแรมที่มีความจุสูงๆ เดี่ยวนี้ราคาไม่แพงมากนัก แต่ก็ควรที่จะดูว่าขนาดไหนเหมาะกับเรา เพื่อจะได้ไม่สิ้นเปลืองมากกว่าปกติ

3.ความเร็ว

ความเร็วหรือว่า บัสของแรมนั้นก็มีความสำคัญเพาะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การถ่ายโดนข้อมูลได้เราขึ้น ซึ่งก็ได้กล่าวไปแล้ว่าประเภทของแรมนั้นก็มีความเร็วที่แตกต่างกัน แล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดเราอีกนั้นล่ะว่าจะรองรับได้มากแค่ไหน หรือถ้าใครซื้อแรมชนิดไหนก็ได้ที่มีความเร็วสูงไปที่เมนบอร์ดจะรองรับก็สามารถจะใส่ได้เมื่อซื้อแรมที่เป็นประเภทเดียวกันเท่านั้นแต่ความเร็วของแรมก็เท่ากับ เมนบอร์ดรองรับ และใครที่ซื้อแรมมา 2 ตัวแต่ มีความเร็วเท่ากัน มันก็จะใช้แรมที่มีความเร็วต่ำกว่านั้นเอง

4.ก็การเลือกยี่ห้อ

การเลือกยี่ห้อนั้นแล้วแต่ศรัทธาครับ ไม่ว่ากันแต่จะมีการรับประกันที่แต่ต่างกันนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ อย่างเช่นการเครมที่ไหม้ได้ไม่ได้ รวมทั้งราคาของแรมด้วยประสิทธิภาพจะแตกต่างกันหรือไม่นั้นส่วนตัวผมเอง ใช่มาหลายยี่ห้อแล้วไม่ต่างกันเลย เพราะฉะนั้นอยากได้ยี่ห้อไหนรับประกันดีเป็นพอครับ อันนี้ไม่เกี่ยวกับหน้าตาคนขายนะครับ

ขึ้นบนสุด


การเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์

การเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์

สำหรับฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่มาก เพราะฉะนั้นแล้วจึงมีการเลือกซื้อให้เหาะสมกับความต้องการของเรา ในปัจจุบันฮาร์ดดิสก์ได้มีราคาต่อความจุถูกมาก และมีความเร็วที่แตกต่างกัน จะข้อแนะนำการเลือกซื้อดังต่อไปนี้

1.ประเภทของ ฮาร์ดดิสก์

ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ๆ กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ (สำหรับฮาร์ดดิสก์ที่เชื่อมต่อภายนอกจะขอกล่าวในลำดันถัดไป)

- แบบ IDE เป็นฮาร์ดดิสก์ ที่จะบอกว่ารุ่นเก่าแล้วก็ว่าได้ เพราะว่ามีรุ่นใหม่ที่เร็วกว่าประหยัดทั้งพื้นที่ประทั้งพลังงานได้ดีกว่า และเมื่อเปรียบเทียบแล้วจะราคาแพงกว่า SATA ด้วยซ้ำ

- แบบ SATA เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามามนตอนนี้และได้มีความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะว่าในเมนบอร์ดรุ่นใหม่นั้นก็ลองรับได้หมดแล้ว และมีราคาที่ถูกกว่า ฮาร์ดดิสก์ แบบSATA

ขอแตกกต่างของการเชื่อมต่อ IDE กับ SATA

2.ขนาดของความจุ

ความจุของฮาร์ดดิสก์หรือพื้นจัดเก็บข้อมูล นั้นมีความสำคัญว่าเราจะใช้งานประเภทใดและต้อง เลือกความจุขนาดใดใครที่ชอบทำงานด้านมัลติมีเดียก็ต้องเลือกความจุมากๆ ปัจจุบันนี้มีความจุ ถึง 2 GB ไปแล้วซึ่งสามารถเก็บข้อมูลจนลืมไปเลยว่าซื้อมาตอนไหน ไม่รู้จักเต็มสักที แต่ก็ยังมีราคาที่สูงอยู่นั้นเอง

3.ความเร็วรอบ

ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นย่อมมีผลโดยตรงต่อความเร็วของฮาร์ดดิสก์ คือถ้าฮาร์ดดิสก์มีความเร็วรอบสูงแล้ว ข้อมูลก็จะเคลื่อนมาถึงหัวอ่านได้อย่างรวดเร็วขึ้น ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นมีหน่วยเป็น “รอบต่อนาที (rpm) ในปัจุจบันความเร็วรอบนั้น 5,400-7,200 rpm แล้ว และยังมีการพัฒนาความเร็วได้ถึง 10,000 rpm

4.บัฟเฟอร์ของ ฮาร์ดดิสก์

บัฟเฟอร์ก็คือหน่วยความจำแคชของฮาร์ดดิสก์นั้นเองครับ เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความเร็วและประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ ถ้าเกิดฮาร์ดดิสก์ไหนที่มีขนาดบัฟเฟอร์ขนาดใหญ่ก็จะช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาที่จะกลับไปนำข้อมูลนั้นมาใช้ซ้ำอีก โดยการทำงานนั้นจะทำงานรวมกับแรม แรมจะนำข้อมูลจากบัฟเฟอร์มาใช้โดยตรง ในปัจจุบันแล้วขนาดบัฟเฟอร์ ก็มีจำนวน 8-32 MB ไปแล้ว

5.ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล

ช่วงเวลาในการเข้าถึงข้อมูล (Seek Time) คือช่วงเวลาที่ตำแหน่องบนจานของฮาร์ดดิสก์นั้นหมุนมาพอดีกับตรงที่หัวอ่านพอดี ความเร็วนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์เอง ยิ่งมีความเร็วที่น้อยก็สามารถที่จะทำให้ฮาร์ดดิสก์นั้นอ่านเขียนได้เร็วขึ้น

มารู้จักเทคโนโลยีไฮบริด (Hybrid)

ฮาร์ดดิสก์แบบนั้นคือเป็นเทคโนโลยีที่นำหน่วยความจำมาเป็นแฟลช มาทำงานร่วมกับฮาร์ดดิสก์โดยลักษณะจะเหมือนการทำงานของแฟลชไดร์ โดยหน่วยความจำที่นำมาใช้นั้นจะช่วยเพิ่มที่จะช่วยโหลดไฟล์ที่ใช้งานบ่อยๆ หรือเก็บมาไว้ใช้ชั่วคราว ก็ช่วยเพิ่มทั้งความปลอดภัยและความรวดเร็วของของมูล

ขึ้นบนสุด


การเลือกซื้อไดรว์ CD/DVD

การเลือกซื้อไดรว์ CD/DVD

สำหรับไดรว์ที่ใช้แสงเลเซอร์ซึ่งก็มีส่วนสำคัญเช่นกันอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพราะว่าจะเป็นตัวที่อ่านแผ่น CD/DVD เพื่อใช้ดูหนังฟังเพลงต่างๆ นั้นเองแล้วจะมีขั้นตอนในการพิจารณาดังต่อไปนี



1.ประเภทของไดรว์
ประเภทของไดร์นั้นซึ่งก็มีหลากหลายที่เราจะเลือกซื้อผมจะขอกล่าวได้ว่า ถ้าเกิดจะซื้อในขนาดนี้ก็ต้องเลือกที่สามารถทำงานได้หลายอย่างเพราะปัจจุบันนั้นราคาไม่แพงถ้าจะซื้อครบทุกฟังชั่นก์แล้ว ส่วนจะเลือกที่แบบต่อภายนอกหรือต่อภายในนั้นแล้วแต่ความสะดวกครับ ส่วนที่ใครใช้ Windows Vista นั้นไม่สามารถที่จะสนับสนุน CD แล้วถึงจะใช้งานทั่วไปได้เหมือนกันแต่ไม่สามารถที่จะนำแผ่น CD ไปติดตั้งได้แล้วเพราะว่าต้องอาศัย DVD ในการติดตั้ง

2.ความเร็ว
ความเร็วในการในการอ่าน จะเรียกกันทั่วๆไปว่า X เช่นไดวร์นี้อ่านได้เร็วถึง 52x หรือ 56x ก็ตามก็คือความเร็วในการอ่านของไดวร์นั้นเอง ความเร็วในการอ่านที่แท้จริงแล้ว 1x นั้นเท่ากับ 150 KB/s ถ้าเกิดเราใช้ไดวร์ที่อ่านความเร็วได้ 52x ก็เท่ากับ 52 x 150 = 7800 KB/s นั้นเอง ในปัจจุบันความเร็วในการอ่านนั้นก็สูงมากเพราะฉะนั้น เรายังต้องควรคำนึงถึงความเร็วในการเขียนของไดวร์เช่นกันเพราะว่าก็มีความสำคัญในขณะที่เราเขียนเพื่อความรวดเร็วแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วก็ไม่มีใครที่ต้องการเขียนด้วยความเร็วสูงสูดได้เพราะนั้นก็หมายถึงการที่เราอยู่กับความเสี่ยงที่แผ่นอาจจะเสียหายได้


3.เทคโนโลยีของไดวร์เอง
ในช่วงหลังๆแล้วได้มีการแข่งขันการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆที่ได้เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ของการทำงานได้ดีขึ้นเช่น BURB-Proof ที่ช่วยป้องกันข้อมูลเครื่องส่งข้อมูลไม่ทัน ในกรณีที่ที่เรากำลังเขียนแผ่นอยู่แล้วเกิดปัญหา คอมพิวเตอร์ส่งข้อมูลไปไม่ทัน ก็จะหยุดเขียดชั่วคราวได้โดยที่ไม่ทำให้แผ่นได้รับความเสียหาย


4.อินเตอร์เฟรช
สำหรับอินเตอร์เฟรช นั้นมีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ IDE และ SATA แล้วแต่จะเลือกแล้วกันครับส่วนเรื่องที่ว่าข้อดีของ SATA ก็เหมือดกับของฮาร์ดดิสก์เองครับ คือประหยัดทั้งพื้นที่และพลังงาน และที่สำคัญช่วยให้เราสามารถระบายความร้อนภายในเคชได้ดีอีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วเมนบอร์ดส่วนมากจะมีช่องต่อ IDE มาให้ด้วยเพราะฉะนั้น หลายคนจึงยังใช้ IDE เพื่อที่จะได้ไม่ให้ว่าง แล้วนำช่องต่อที่เหลือมาต่อที่ SATA แทน

5.ยี่ห้อและการรับประกัน
ในเรื่องของยี่ห้อแล้วมีให้เลือกที่หลากหลายในปัจจุบันยังไงก็ต้องศึกษาว่ายี่ห้อไหน มีเทคโนโลยีเป็นยังไงบ้างมีการรับประกันยังไง ต้องสอบถามจากตัวแทนจำหน่ายเพราะว่ายี่ห้อแต่ละยี่ห้อจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ไม่มากก็น้อยครับ ตอนที่จะเลือกซื้อก็และนำเอาที่ฟังชันก์ได้ทุกอย่าง หรือสอบถามจากการที่ได้พบเจอคนที่ใช้ยี่ห้อนั้นๆ แล้วว่ามีคำติชมเป็นอย่างไร

ขึ้นบนสุด


การเลือกซื้อกราฟิกการ์ด

สำหรับกราฟิกการ์ดแล้วเป็นส่วนประกอบที่ใช้การแลงสัญญาณข้อมูลให้กับมอนิเตอร์ของเราเพื่อทำให้เกิดภาพนั้น จะมีประสิทธิภาพเป็นแบบใดก็ขึ้นอยู่กับ กราฟิกการ์ดด้วย สำหรับขั้นตอนก็จะขอพิจารณาดังต่อไปนี้คือ



1.ประเภท

ในปัจจุบันนั้นมีประเภทของการ์ดแสดงผลที่นิยม อยู่ 2 ประเภทคือ

- AGP

สำหรับ AGP นั้นมีความเร็วที่ 266 MB /s นั้นคือความเร็วที่ตั้งแต่เริ่มแรก แล้วได้มีการพัฒนาแต่มา คือ 2x – 8x ซึ่งในปัจจุบันได้มีการลดความสำคัญลงไปเพราะมีสล็อต ที่เร็วกว่ามาแทน แต่ยังมีผู้ที่ใช้เมนบอร์ดรุ่นเก่าอยู่ยังต้องใช้ แบบ AGP อยู่

- PCI Express

จะมีความเร็วกว่า AGP ซึ่งเป็นมาตรฐานแบบใหม่ที่เข้าแทนการเชื่อมต่อ แบบ AGP และแบบ PCI ธรรมดา โยความสามารถของ PCI Express คือมีการควบคุมการรับส่งข้อมูลขึ้นมา เรียกว่า “สวิตช์(Switch) สำหรับข้อดีที่ความเร็วเร็วกว่า AGP นั้น ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วถึง 250 MB/s เลยทีเดียว และสามารถปรับขนาดของความกว้างของบัสเองได้มากกว่าทำให้ความเร็วไปได้ถึง 4 GB/s มากว่า AGP ถึง 2 เท่า

2.ซิปการฟิก

nVidia : ถือได้ว่าเป็นผู้ผลิตที่ได้ผลิตมาตั้งแค่เริ่มต้นเลย ผลิตมาเป็นเวลานาน ที่โด่งดังในตอนนั้นก็คือ TNT 2 ที่เป็นกราฟการ์ด 3 มิติ ที่มีประสิทธิภาพในตอนนั้นและมีการพัฒนาต่อมาเรื่อยๆจน ในปัจจุบันมีชื่อว่า GeForce นั้นเอง ถือได้ว่าเป็นที่นิยมมากที่สุดในตอนนี้ มีให้เลือกหลากหลายขนาดหลายราคา ให้เลือก

ATi : ได้พัฒนามาเรื่อยๆ ซึ่งเป็นผู้ผลิตกราฟิกตระกูล Radeon ที่มีประสิทธิภาพสูงได้รับการยอมรับจากคนเล่นเกมส์ต่างๆ ว่ามีประสิทธิภาพเยื่ยมเลยทีเดียว

3.หน่วยความจำ

ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง เพราะเป็นส่วนที่ช่วยให้ความเร็วในการแสดงผลรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งหน่วยความจำของการ์ดแสดงผล เหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์จำต้องมีหน่วยความจำแรม ส่วนของการ์ดแสดงผลนั้นก็มีหน่วยความจำที่ทำงานเช่นเดียวกัน นั้นมีหลายประเภทในปัจจุบันคือ

1.GDDR 2 เป็นแรม DDR2 ที่ออกแบบให้เมาะสมกับการ์ดแสดงผล จะรองรับการทำงานด้วยความเร็ว 500MHz

2.GDDR3 ได้รับการพัฒนามาจาก DDR2 โดยจะทำงานด้วยความเร็วที่สูงกว่า 2 เท่าคือ 1 GHz ขึ้นไป

3.GDDR 4 เป็นแรมที่พัฒนามาจาก DDR3 ซึ่งเป็นหน่วยความจำที่มีความเร็วสูงกว่า DDR2 ถึง 3 เท่าคือ 1.5 GHz

4.GDDR 5 ก็เป็นการพัฒนาจาก DDR4 โดยมีความเร็วสูงที่สุกเลยก็ว่าได้ เพราะทำงานได้ถึง 2 GHz เลยที่เดียว โดยได้มีการเริ่มใช้กับกลุ่มซิปกราฟิกของ Radeon

4.ในเรื่องของการรับประกัน

ในเรื่องการรับประกันนั้นได้มีระยะเวลาตามแต่ ยี่ห้องของผู้รับประกัน บางที่อาจรับประกันนานถึง 3 ปีบางที่อาจจะรับประกันแค่ 1 ปีเพราะฉะนั้นควรเลือกที่เราคิดว่าเหมาะสม เพราะบางคนอาจใช้เวลาแค่ 1 ปีก็จะเปลี่ยน บางคนก็ซื้อครั้งเดียวยาวไปเลย

ขึ้นบนสุด


การเลือกใช้จอมอนิเตอร์

สำหรับการทำงานของคอมพิวเตอร์นั้น จอมอนิเตอร์คงขาดไม่ได้แน่นอน เพราะเป็นอุปกรณ์แสดงผมออกมาเป็นภาพนั้นเอง โดยมี 2 ประเภทที่ใช้ในปัจจุบัน

1.จอภาพแบบ CRT

จอภาพแบบ CRT เป็นจอมอนิเตอร์ที่มีมานานมากแล้ว เพราะเป็นจอภาพอันดับต้นๆ ที่นำมาใช้ในวงการคอมพิวเตอร์ ความสามารถของจอมอนิเตอร์แบบนี้นั้น คือราคาที่ถูก สามารถมอกงเห็นในมุมมองต่างๆอย่างชัดเจนได้ การแสดงผลของภาพเคลื่อนไหวได้ดี โยจะมีวงจรและ หลอด CRT ภายในตัวมอนิเตอร์นั้นเอง



สำหรับภายในหลอด
CRT จะประกอบด้วย

1. ปืนอิเล็คตรอน ซึ่งจะสร้างให้เกิดลำแสงอิเล็คตรอน โดยจะมีเจ้าปืน- อิเล็คตรอนอยู่ทั้งหมดสามกระบอก เดากันได้ง่ายๆ ครับว่าใช้สำหรับแม่สี ทั้งสาม (แดง, เขียว, น้ำเงิน)

2. Anodes จะเป็นตัวเร่งความเร็วของอิเล็คตรอนที่ถูกยิงออกมา

3. Deflecting Coils เป็นตัวที่จะสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าอ่อนๆ ขึ้น เพื่อใช้เป็นตัวควบคุมทิศทางของอิเล็คตรอนที่ถูกยิงออกมา

นอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีตัวที่เรียกว่า slot mask หรือ shadow mask ซึ่งเป็น แผ่นโลหะที่มีรูจำนวนมาก รูเหล่านี้จะทำหน้าที่บังคับให้ลำแสงอิเล็คตรอน เรียงกันเป็นระเบียบอย่างสวยงาม

ทีนี้ เมื่อลำแสงอิเล็คตรอนมากระทบกับจอภาพแล้ว เกิดภาพขึ้นได้ยังไง?? คุณจะสามารถมองเห็นจุดเล็กๆ เพียงจุดเดียวบนจอมอนิเตอร์ได้ เมื่อลำแสง อิเล็คตรอนมากระทบกับสารที่เคลือบอยู่ที่ผิวของจอภาพ ซึ่งเจ้าสารตัวนี้ จะ เรืองแสงออกมาเมื่อถูกกระทบโดยอิเล็คตรอน ส่วนสีที่คุณเห็นบนจอภาพนี้ ถูกกำหนดโดยความเข้มของลำแสงอิเล็คตรอนที่ยิงออกมา ซึ่งเจ้าความเข้มนี้ ถูกกำหนดค่ามาเรียบร้อยแล้วโดย DAC

2.จอภาพแบบ LCD

สำหรับเมื่อช่วงปีที่ผ่านจอภาพแบบ LCD นั้นได้มีการเปิดตัวจอภาพรุ่นใหม่ๆ มามากมาย อีกทั้งยังมีการลดราคาให้สามารถที่จะเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น จึงทำ ให้ผู้ที่ต้องการเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ไปใช้งานนั้นสามารถที่จะเลือกซื้อ จอภาพแบบ LCD ไปใช้งานกัน แต่ก็ยังมีข้อที่สงสัยกัน โดยมากว่าการเลือกซื้อจอ ภาพ LCD นั้นจะ แตกต่างกับจอภาพแบบ CRT บ้างหรือไม่ ซึ่งเมื่อจะดูจากเทคโนโลยีแล้วนั้น ก็ย่อมจะมีส่วนที่แตกต่างกันมาก ดังนั้นก็เลือกซื้อจอภาพ LCD จึงมีข้อที่ให้สังเกตในการเลือกซื้อที่แตกต่างจากจอภาพ CRT ออกไปเป็นบางส่วน ซึ่งก็จะกล่าวกันต่อไป

อย่างที่กล่าวมาจอภาพแบบ LCD นั้นมีการ ทำงานที่แตกต่างจากจอภาพแบบ CRT นั้นก็เพราะว่าเทคโนโลยีของจอภาพแบบ LCD หรือ Liquid Crystal Display ซึ่งเป็นจอภาพที่เป็นการแสดงภาพแบบดิจิตอล (Digital) โดยภาพที่ได้นั้นเกิดจากการปรากฏขึ้นจากแสงที่ปล่อยออกมาจากหลอดไฟด้าน หลังของจอภาพ (Back light) และแสงนั้นก็จะผ่านชั้นกรองแสง (Polarized filter) แล้วแสงนั้นก็จะทำการผ่านต่อไปยังชั้นที่ผลึกคริสตัลเหลวที่เรียงตัวกัน เป็น 3 เซลล์ด้วยกัน นั้นคือ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน้ำเงิน โดยแสงที่ได้นั้นจะกลายเป็นแต่ละพิกเซล (Pixel) และรวมกันจนกลายเป็นภาพที่ได้ออกมา ทางหน้าจอ โดยจอภาพแบบ LCD นั้นได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนสามารถที่จะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทนั้นคือ

จอภาพที่ใช้เทคโนโลยี STN (Super-Twisted Nematic) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ให้ความคมชัด และแสงสว่างไม่มากนักจึงทำให้นิยมนำไปใช้งาน กับอุปกรณ์ ประเภทเคลื่อนที่ขนาดเล็กๆ อย่างโทรศัพท์มือถือ เกม เคลื่อนที่ หรือจอภาพของ Palm ที่เป็นแบบขาวดำ

จอภาพที่ใช้เทคโนโลยี TFT (Thin Film Transistor) เป็นเทคโนโลยีที่นิยมนำมาใช้งานทั้ง จอของเครื่องโน้ตบุ๊ก (Notebook) และจอภาพที่ นำมาใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไปเป็นอย่าง มากเนื่องจากว่าภาพที่ได้จากเทคโนโลยีนี้นั้นจะมีความคมชัด และแสงสว่างกว่าแบบแรกเป็นอย่างมาก

เมื่อได้รู้ถึงเทคโนโลยีในการแสงภาพของจอภาพแบบ LCD กันแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าจอภาพแบบ LCD นั้นมีขั้นตอนในการแสดงภาพที่แตกต่างจากจอภาพ แบบ CRT อย่างเห็นได้ชัดสำหรับ การเลือกซื้อที่สามารถจะเลือกซื้อจอภาพที่ได้อย่าง ถูกต้องนั้นก็จะมีหลายวิธีที่จะสามารถที่จะพิจารณา ในการเลือกซื้อจอภาพ แบบ LCD ได้เป็นอย่างดี โดยขั้นตอนนี้ก็จะมีดังต่อไปนี้

1.เลือกขนาดที่เหมาะสมกับการใช้งาน
ในการใช้งานจอภาพนั้นจำเป็นจะต้องเลือก ใช้งานขนาดของจอภาพให้เหมาะสมกับงานเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะได้ช่วยให้การทำงานนั้นมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้น อย่างเช่นการทำงานที่เกี่ยวกับงานเอกสารนั้น ก็สามารถที่จะเลือกซื้อจอที่มีขนาดตังแต่ 14"-17" ได้ แต่ถ้าจะใช้จอภาพ ที่มีขนาดใหญ่ไปกว่านี้ก็จำเป็น ต้องปรับขนาดของ ตัวหนังสือให้เล็กลง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้ก็อาจจะ ทำให้เกิดอาการปวดตาขึ้นมากได้ เพราะตัวหนังสือ ที่แสดงมีขนาดใหญ่จนเกินไป สำหรับ การทำงานทางด้านการออกแบบกราฟิก ตกแต่งรูปภาพ การ ใช้จอภาพที่มีขนาดใหญ่อย่าง 17", 19" และ 21" นั้นก็จะช่วยให้การทำงานนั้นมีประสิทธิภาพ เพิ่มขึ้น เพราะการทำงานแบบนี้จะเป็นต้องใช้ความละเอียด และการมองภาพ และวัตถุบนจอภาพที่มากกว่าการทำงานปกติเป็นอย่างมาก และสำหรับผู้ที่ใช้งาน เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อความบันเทิงนั้น สามารถ ที่จะเลือกใช้งานจอภาพได้ตามความเหมาะสมกับงบที่มีอยู่ โดยน่าจะเริ่มใช้งานที่ 17" ขึ้นไป เนื่องจากว่าการ ใช้งานจอภาพขนาด 15" นั้นดูเหมือนจะไม่เพียงพอกับการใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม และชมภาพยนตร์ แต่สิ่งที่สำคัญนั้นคือจอภาพแบบ LCD นั้นที่มีขนาด ใหญ่นั้นราคายังคงแพงอยู่เป็นอย่างมาก ซึ่งเมื่อคิดจะเลือกซื้อนั้นให้คำนึงถึงความเหมาะสม และงบให้เป็นอย่างมาก

2.ความละเอียดของจอภาพ
ในส่วนของเรื่องความละเอียดของจอภาพแบบ LCD นั้น จะมีจำนวนของ Pixel ที่แน่นอน ซึ่งแตกต่างจากจอภาพแบบ CRT ที่มีจำนวนของ Dot pitch ที่ไม่แน่นอน และสามารถที่จะปรับความละเอียดได้หลายค่า ขึ้นอยู่กับแต่ละเทคโนโลยี แต่สำหรับจอภาพแบบ LCD นั้น แม้จอภาพจะใช้ เทคโนโลยีที่แตกต่าง กันแต่ความ ละเอียดสูงสุดของจอภาพก็จะเท่ากันเสมอ เช่น จอภาพขนาด 15" นั้นก็จะมีความละเอียดสูงสุดที่ 1024x768 เท่ากัน และ จอภาพขนาด 17" นั้นก็ จะมีความ ละเอียดสูงสุดที่ 1240x1024 เท่ากันอีกเช่นกัน จะเห็นได้ว่าจอภาพที่มีขนาดใหญ่ก็จะมีค่าความละเอียดของภาพสูงขึ้นตามลำดับ นี้ก็เป็นอีกข้อหนึ่ง ที่น่าสังเกตในการเลือกซื้อจอภาพแบบ LCD


3.ค่าของ Dot Pitch
สำหรับค่าระยะห่างของจุดภาพนั้น อย่างที่กล่าวมากข้างต้นนั้นจอภาพแบบ LCD อาศัยหลักการเรืองแสงของผลึกเหลว ดังนั้นค่าระยะห่างของจุดภาพนั้น จึงมักจะเท่าๆ กันเสมอในทุกๆ เทคโนโลยีที่จอภาพมีการใช้งาน ซึ่งในส่วนนี้นั้นก็มักจะมีบ้างผู้ผลิตที่สามารถจะทำการปรับเปลี่ยนระยะให้มีขนาดเล็กลง ได้บ้าง เพียงเล็กน้อย ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่ายิ่งค่าของ Dot Pitch มีขนาดเล็กลงความละเอียด และความคมชัดของภาพ ก็มักจะมีมากขึ้นตามไปด้วย สำหรับจอภาพขนาด 15" นั้นส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมีค่าของ Dot Pitch ที่ 0.297 มิลลิเมตร สำหรับจอภาพนาด 17" นั้นก็ จะมีค่า 0.264 มิลลิเมตร ซึ่งจอภาพบ้างจอ อาจจะมีค่าที่ แตกต่างไป แต่ค่าของ Dot Pitch ที่ให้ไว้นั้นเป็นมาตรฐานของจอภาพแบบ LCD เป็นส่วนใหญ่


4.จำนวนของเม็ดสี (Bit Depth)
สำหรับค่าของ Bit Depth นั้นเป็นค่าตัวเลข ที่จะบอกถึงความสามารถในการแสดงของจำนวนเม็ดสี ที่จอภาพสามารถที่จะแสดงได้ โดยค่าตัวเลขดังกล่าว จะอยู่ในรูปของตัวเลขในรูปแบบดิจิตอล คือ 8 bit, 16 bit และ 24 bit ยิ่งมีค่าของ Bit Depth ยิ่งมาก สีที่แสดงออกมาก็จะยิ่งมากขึ้นตาม นั้นคือถ้าเป็นแบบ 8 bit สีที่ได้ ก็คือ ตัวเลขฐาน 2 คูณกัน 8 ครั้ง นั้นคือ 2x2x2x2x2x2x2x2 ก็จะเท่ากับ 256 สี และถ้าหากเป็นแบบ 16 bit แล้ว สีที่ได้ก็จะมีจำนวน 65,536 สี ซึ่งเป็นค่าที่เพียงพอสำหรับการแสดงภาพถ่าย และภาพ 3 มิติทั่วไป ถ้าจะให้ดีและสีที่แสดง ออกมาไม่มีผิดเพี้ยน และได้สีที่ครบถ้วนนั้น ก็ควรที่จะใช้งานที่ ระดับ Bit Depth มากว่า 16 bit ขึ้นไป

สำหรับสิ่งที่กล่าวมากใน 4 ข้อแรกนั้นเป็นวิธีในการที่จะดูถึงความสามารถของจอภาพ ซึ่งทั้ง 4 ข้อนั้นสามารถที่จะใช้รวมกับการเลือกซื้อจอภาพแบบ CRT ได้เหมือนกัน เนื่องจากว่าทั้ง LCD และ CRT จะมีละเอียดในการเลือกซื้อเหมือนกัน ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมา ซึ่งต่อไปจะเป็นการกล่าวถึงวิธีการเลือกซื้อที่มี เฉพาะในจอภาพแบบ LCD เท่านั้น แต่ในบ้างครั้งก็จะมีปรากฏในรายละเอียดทางด้านเทคโนโลยีของ CRT แต่ก็ไม่สามารถที่จะเป็นสิ่งชี้ชัดในการเลือกซื้อได้ เพราะค่าดังกล่าวมักจะเท่าๆ กันเกือบทั้งหมด


รูปแบบของมุมในการสะท้อนของแสง และมุมที่จะได้รับภาพชัดเจน

5.ค่า Viewing Angle
สำหรับค่าของ Viewing Angle นี้เป็นค่าของมุมในการแสดงภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ในเฉพาะจอภาพแบบ LCD เท่านั้น เพราะจอภาพแบบ LCD ดันมักจะมีการสะท้อนของแสงสีขาวที่ ออกมาจากจอภาพ ทำให้ภาพที่ได้นั้นพร่ามัว และ สีของภาพจะไม่ชัดเจนไม่เหมือนจริง ซึ่งในจอภาพ ในแต่ละรุ่นจะมีค่า นี้เป็น “องศา” นั้นคือ มุมที่สามารถมองเฉียงออกจากกลางจอภาพได้เป็นระยะ กี่องศา ทั้ง 4 ด้าน โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ทิศทาง เป็นแนวตั้ง คือ มองจากด้านบน และด้านล่าง แนวนอน คือ ด้านซ้าย และด้านขวา โดยที่ค่านี้ยิ่งมากเท่าไร มุมมองที่สามารถจะแสดงแล้วภาพไม่พร่ามัว ก็จะยิ่งมากตามขึ้นไปด้วย

6.ค่าความสว่างของจอภาพ
จอภาพที่ดีนั้น ควรที่จะมีความสว่างที่เพียงพอกับการใช้งานในระดับปกติ แต่ถ้าจอภาพ นั้นมีแสงสว่างมากจนเกินไปก็จะทำให้แสงสีขาวมีมากเกินไปทำ ให้ภาพนั้นดูซีด และไม่เป็นผลดีกับสายตาอย่างแน่นอน ซึ่งค่านี้สามารถที่จะดูได้ที่ค่า Contrast Ratio ซึ่งเป็นค่าของอัตราส่วนระหว่าง “ความสว่างของแสง สีขาว” กับ “ความคมชัดของแสงสีดำ” โดยในบ้างครั้ง ค่าเหล่านี้มักจะไม่มีผลกับการเลือกซื้อจอภาพแบบ LCD มากนัก เพราะ เนื่องจากว่าผู้ซื้อส่วนใหญ่แล้ว มักจะตัดสินใจเลือกซื้อจอภาพที่ให้แสงสว่างได้เหมาะสมกับผู้ใช้เป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือในการเลือกซื้อนั้นผู้ซื้อควรที่ จะทำการทดสอบใช้งานด้วยสายตาตนเอง จะเป็นดี ที่สุด เพราะว่าความเหมาะสมกับแสงสว่างที่ใช้งาน ในสายตาของคนแต่ล่ะคนย่อมที่จะแตกต่างกันออกไป การทดสอบด้วยตาตนเองจะเป็นการดีที่สุด

7.ความเร็วในการตอบสนองของภาพ
ความเร็วในการตอบสนองนั้น เราสามารถ ที่จะวัดได้จาดค่า Response time ซึ่งเป็นค่าที่ จะทำการวัดช่วงระยะเวลาที่ภาพสามารถตอบสนอง และ แสดงเป็นภาพได้ โดยจะมีหน่วยเป็น “มิลลิ--วินาที” ซึ่งค่านี้ยิ่งน้อยเท่าไร ก็แสดงว่าจอภาพนั้นสามารถที่จะแสดงภาพได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยค่านี้จะไม่มีผลกับ ผู้ที่ทำงานทางด้านเอกสารทั่วไป แต่จะเห็นผลกับผู้ที่ใช้งานจอภาพในด้านการแสดงภาพ วิดีโอ การทำงานทางด้านกราฟิกต่างๆ รวมทั้งการเล่นเกม เพราะถ้าค่า นี้ยิ่งน้อยเท่าไร อาการที่จะเกิดการกระตุกของภาพระหว่าง การแสดงภาพยิ่งลดน้อยลง

ข้อแตกต่างจอ CRT และ LCD

รูปร่าง และน้ำหนัก : จอภาพแบบ LCD นั้นจะมีความบาง และแบนกว่าจอภาพแบบ CRT เป็นอย่างมาก นั้นเป็นเพราะเทคโนโลยีในการแสดงภาพที่แตกต่าง กัน ซึ่งเป็นข้อดีที่ LCD นั้นได้เปรียบจอภาพแบบ CRT อยู่มาก อีกทั้งด้วยความบาง และแบนของจอ LCD จึงทำให้น้ำหนักนั้นเบากว่าจอ CRT เป็นอย่างมาก การเคลื่อนย้าย จึงสามารถทำได้ง่ายกว่า

พื้นที่ในการแสดงผล : ในบางครั้งหลายๆ ท่านจะสังเกตเห็นได้ว่าจอภาพแบบ LCD นั้นถึงแม้จะมีขนาดเท่ากับจอภาพแบบ CRT มักจะมีพื้นที่ในการ แสดงภาพมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด นั้น ก็เพราะว่าจอภาพแบบ LCD นั้นสามารถที่จะแสดง ภาพได้เต็มพื้นที่ อีกทั้งความบาง และความคมชัด ของจอภาพจึงทำ ให้ดูเหมือนจอภาพของ LCD จะมีพื้นที่แสดงภาพมากกว่าจอภาพแบบ CRT ที่มีขนาดเท่ากัน

ความคมชัดของภาพ : ถึงแม้ว่าจอภาพแบบ LCD นั้นจะมีระยะห่างของจุด (Dot Pitch) มากว่าจอภาพแบบ CRT บางรุ่น แต่ความคมชัด และสีสันนั้น จอภาพแบบ LCD จะมีอยู่สูงกว่าจอภาพแบบ CRT อยู่มากเนื่องจากว่าจอภาพแบบ LCD ใช้หลักการเรืองแสง และแสดงภาพแบบดิจิตอลภาพที่ได้จะแสดง ได้ถูกต้องตามตำแหน่งของภาพได้มากกว่า และเนื่องจากเป็นผลึกเหลว การไล่สีของภาพจึงสามารถที่จะทำได้ดีกว่าการยิงแสงของจอภาพแบบ CRT ภาพที่ได้ จึงคมชัดมากกว่า

การกระจายของรังสี : นี้ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่เป็นที่พูดถึงกันมากในการใช้งานคอมพิวเตอร์ นั้นคือ การกระจายรังสีของจอภาพที่ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งจริง แล้วการกระจายรังสีนี้มีอยู่ในทุกๆ จอภาพ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ รวมทั้งอุปกรณ์แสดงภาพต่างๆ แต่ทำไหมถึงจอภาพแบบ CRT จึงเป็นที่พูดถึงกับบ่อย ซึ่งจริงๆ แล้วจอภาพที่อาศัยหลักการยิงแสงอิเล็กตรอน ให้เกิดภาพทุกจอ มีการกระจายรังสีเท่ากันไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ หรือจอ CRT แต่การชมโทรทัศน์นั้น มักจะชมกันอยู่ในระยะที่ไกล จึงทำให้ ได้รับรังสีน้อย และแทบจะไม่มีผลกระทบมากนัก แต่จอภาพที่ใช้งานกับคอมพิวเตอร์นั้น การใช้งาน ส่วนใหญ่จะอยู่ใน ระยะที่ใกล้ โอกาสที่จะได้รับรังสีจึงมีมากกว่าปกติ แต่สำหรับจอภาพแบบ LCD นั้นการกระจายของรังสีนั้นมีน้อยกว่าจอภาพแบบ CRT ดังนั้นโอกาสที่จะได้ รับผลกระทบจากรังสีจึงน้อยตามมา ซึ่งก็ช่วยให้สายตา และสุขภาพของผู้ใช้งานได้รับอันตรายจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ได้น้อยลง

ประหยัดพลังงาน : ข้อนี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าจอภาพแบบ LCD นั้นใช้พลังงานที่น้อยกว่าจอภาพแบบ CRT ถึง 50%-60% ยิ่งถ้าในองค์กรที่มีการใช้ งานเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมาก การใช้งานจอภาพแบบ LCD จะเป็นการช่วยลดรายจ่ายในเรื่องของค่าไฟฟ้าในระยะยาวได้เป็นอย่างมาก และก็ถือเป็นการ ประหยัดการใช้งานพลังงานไฟฟ้าได้เป็นอย่างดีทีเดียว

ราคา : สำหรับในข้อนี้นั้นจอภาพแบบ CRT คงจะได้เปรียบอยู่มากเนื่องจากจอภาพแบบ CRT นั้นราคาถูกกว่าจอภาพแบบ LCD อยู่มาก เมื่อเปรียบเทียบใน ขนาดของจอภาพที่เท่ากัน ดังนั้นผู้ซื้อส่วนใหญ่มักจะเลือกซื้อจอภาพแบบ CRT กัน เป็นส่วนมาก ถึงแม้จอ LCD จะมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่มากกว่า แต่ ราคามักจะเป็นสิ่งที่กำหนด และมีผลในการตัดสินใจในการซื้ออยู่มาก

เครดิต สนามบินน้ำ.com และ www.buycoms.com

ขึ้นบนสุด


การเลือกซื้อชุดระบายความร้อน(ฮีตซิงค์)

สำหรับใครที่ต้องการหาชุดระบายความร้อนมาเสริม โดยปกติชุดระบายความที่มากับ CPU นั้นสามารถที่จะระบายความร้อนได้เต็มประสิทธิภาพอยู่แล้วครับ แต่ก็มีคนที่อยากจะซื้อมาเพิ่มหรือว่ามาตกแต่ง และสำหรับคนที่เป็นนักโอเวอร์คล็อก ชุดระบายความร้อนแบบเดิมๆ คงไม่พอ จึงจำเป็นต้องมามาใส่เพิ่มเติมเพื่อเป็นการระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น และเหมาะสมกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับฮีตซิงค์ ในปัจจุบันนั้น มีหลายราคาหลาย ตั้งแต่ไม่กี่ร้อยไปถึงหลายพัน ขนาดเพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำไปใช้ไปได้อย่างเหมาะสมกับ CPU ของตัวเอง ซึ่งที่ขายในบ้านเรานั้นจะมีวัสดุอยู่ 2 ชนิดคือ แบบที่เป็นอลูมิเนียมและเป็นแบบทองแดง โดยทั้งสองอย่างนี้จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน โดยอลูมิเนียมนั้นสามารถระบายความร้อนได้ดีแต่จะดูดความร้อนได้ไม่ดี ส่วนทองแดงนั้นสามารถดูดความร้อนได้ดี แต่ไม่สามารถที่จะระบายความร้อนได้ดี ดังนั้นเราจึงเห็นว่าจะมีวัสดุ 2 อย่างนี้มาอยู่ด้วยกัน โดยจะให้ทองแดงนั้นเป็นแกนกลางส่วนอลูมีเนียมเป็นส่วนอยู่ด้านนอก เพื่อที่จะให้ทองแดงนั้นดูดความร้อนแล้วให้อลูมิเนียมระบายความร้อนออกไป สำหรับบางคนอาจจะเห็นมีแต่ทองแดงล้วนนั้น ก็สามารถทำได้เพราะผู้ผลิตจะใช้พัดลมเป็นตัวระบายความร้อนแทนก็ได้เช่นกัน ซึ่งก็แล้วแต่ขนาดนั้นด้วย เพราะว่าส่วนใหญ่ที่เป็นทองแดงล้วนนั้นจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่

นอกจาด้านวัสดุที่ใช้ในการผลิตแล้วเรายังต้องคำนึงถึง ความเร็วของพัดลมอีกด้วยเพราะพัดลมนั้นเป็นส่วนหนึ่งในการระบายความร้อนที่สำคัญเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วการที่เราจะรู้ได้ว่าประสิทธิภาพของพัดลมนั้นจะมีหน่วยเป็น CFM ซึ่งก็หมายถึงความเร็วลมที่พัดไประบายความร้อนของฮีตซิงค์นั้นเองครับ ถ้าเกิดว่าความเร็วรองของพัดลมมีมากเท่าไหร่ยิ่งดีครับ เพราะจะทำให้ CFM สูงขึ้นไปด้วย แต่ไม่เสมอไปนะครับ เพราของอันพัดลมอันเล็กนิดเดียวก็ไม่ไหวเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วก็ต้องเลือดสมเหตุสมผลกันด้วยนะครับ อย่างเช่นพัดลมที่มีความเร็วรอบ 5,000 – 6,000 รอบต่อนาที (rpm) ก็จะมีค่า CFM เท่ากับ 20-30 โดนประมาณ ก็พอเหมาะแล้วกับการระบายความร้อนกับ CPU เราโดยปกติส่วนมากแล้ว การที่จะเลือดซื้อนั้นจะซื้อที่มีขนาดใหญ่กว่า 60 มม. แล้วเอาความเร็วรอบแต่ 2,000 rpm เท่านั้นเพราะว่าถ้าใช้ความเร็วเกินไปจะทำให้เกิดเสียงดังรมกวนได้

ต่อไปนี้เราไปชุดระบายความร้อนมาแล้ว เราควรคำนึกตอนที่เราจะไปติดตั้งด้วยเพราะว่าเราจะนำไปติดตั้งต้องมีการทาสารนำความร้อนด้วยหรือที่เรียกว่า ซิลิโคนนั้นเองหรือ Thermal Compound นั้นเองครับ โดยส่วนมากแล้วถ้าเราซื้ออาจจะมี เป็นแผ่นระบายความร้อนมาพร้อมด้วย (Themal Pad) ซึ่งเราจะเห็นมาพร้อมกับซีพียูนั้นล่ะครับ จะมีลักษณะเป็นแผ่นเมื่อใส่แล้วจะทำให้หน้าสัมผัสระหว่าง ฮีตซิงค์ได้สนิดยิ่งขึ้นด้วย ทำให้ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนได้ดี ถ้าไม่มีเราก็ต้องหา ซิลิโคนมาใส่เองครับ ซึ่งก็มีหลายราคาหลายวัสดุที่ใช้ในการทำเช่นกัน เอาตั้งแต่แบบธรรมดาไปจนถึงแบบที่ผสมด้วยเงินซึ่งก็มีราคาที่สูงไปด้วยเช่นกันแต่สามารถนำความร้อนได้ดีกว่า

ขึ้นบนสุด