หน่วยที่ 3 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรม
  โดยหลักทั่วไปบุคคลยอมมีความสามารถในการทำนิติกรรม  แต่มีข้อยกเว้นในเรื่องความสามารถ  คือ  บุคคลบางประเภทในทางกฎหมายถือว่าหย่อนความสามารถในการทำนิติกรรมสัญญา  เช่น  ผู้เยาว์  คนไร้ความสามารถ  คนเสมือนไร้ความสามารถ  และบุคคลล้มละลาย  โดยกฎหมายได้กำหนดความสามารถในการทำนิติกรรมสัญญาของบุคคลเหล่านี้ไว้  ดังนี้
        ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมได้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม  เว้นแต่นิติกรรมที่ได้มาโดยซึ่งสิทธิโดยสิ้นเชิง  หรือเพื่อให้หลุดพ้นหน้าที่  หรือการที่ต้องทำเองเฉพาะตัว  หรือกิจกรรมที่สมแก่ฐานานุรูปและจำเป็นในการเลี้ยงชีพ  ผู้เยาว์สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
       คนไร้ความสามารถต้องอยู่ในความอนุบาล  กิจการใดๆ  ของคนไร้ความสามารถ  ผู้อนุบาลซึ่งแต่งตั้งโดยศาลต้องเป็นผู้ทำเองทั้งสิ้น  ส่วนคนเสมือนไร้ความสามารถทำกิจการเองได้ทุกอย่าง  เว้นแต่กิจกรรมบางอย่างจะทำได้  ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์  เช่น  สัญญาซื้อขายที่ดิน  เป็นต้น
       บุคคลล้มละลายจะทำนิติกรรมใดๆ  ไม่ได้  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามคำสั่งศาลจะเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทน
       ดังนั้น  นิติกรรมและสัญญาที่กระทำโดยบุคคลข้างต้น  โดยปราศจากความยินยอมจากบุคคลที่กฎหมายกำหนดไว้จะกลายเป็นโมฆียะ  ซึ่งอาจถูกบอกล้างได้
      ทั้งนี้ในการทำนิติกรรมสัญญาใดๆ  นั้น  จะต้องไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหาย  ไม่เป็นการพ้นวิสัย  และต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  เพราะถ้าหากฝ่าฝืนหลักการดังกล่าว  นิติกรรมสัญญานั้นก็จะถือเป็นโมฆะ  หรือใช้ไม่ได้  ไร้ผลบังคับโดยสิ้นเชิง
       นิติกรรมสัญญาสามารถแบ่งออกได้เป็น  2  ประเภท  ได้แก่
        1.นิติกรรมฝ่ายเดียว  ได้แก่  นิติกรรมซึ่งเกิดโดยการแสดงเจตนาของบุคคลฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวและมีผลตามกฎหมาย  ซึ่งบางกรณีก็ทำให้ผู้ทำนิติกรรมเสียสิทธิได้  เช่น  การก่อตั้งมูลนิธิ  การรับสภาพหนี้  การผ่อนเวลาชำระให้ลูกหนี้  คำมั่นจะซื้อจะขาย  การทำพินัยกรรม  การบอกกล่าวบังคับจำนอง  เป็นต้น
         2.นิติกรรมสองฝ่าย(หรือนิติกรรมหลายฝ่าย)  ได้แก่  นิติกรรมซึ่งเกิดโดยการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปและทุกฝ่ายต่างตกลงยินยอมระหว่างกัน  กล่าวคือ  ฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาทำเป็นนำเสนอ  แล้วอีกฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเป็นคำสนอง  เมื่อคำเสนอและคำสนองถูกต้องตรงกัน  จึงเกิดมีนิติกรรมสองฝ่ายขึ้น  หรือเรียกกันว่า  สัญญา  เช่น  สัญญาซื้อขาย  สัญญากู้ยืม  สัญญาแลกเปลี่ยน  สัญญาขายฝาก  จำนอง  จำนำ  เป็นต้น
           นิติกรรมสัญญาจะพบบ่อยและมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของบุคคล  เนื่องจากทำให้เราหาสิ่งที่ต้องการมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ  หรือหลักประกันความมั่นคงในการติดต่อระหว่างเรากับผู้อื่น
1. สัญญาซื้อขาย
สัญญาซื้อขาย  ได้แก่  สัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้ขาย  โอนกรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของเหนือทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้ซื้อ  โดยผู้ซื้อตกลงจะให้ราคาทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ขาย  (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์   มาตรา 453)  สัญญาซื้อขายมีอยู่ด้วยกัน  2  ชนิดคือ
   1.สัญญาซื้อขายสำเร็จบริบรูณ์หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  คือ  สัญญาที่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโอนไปยังผู้ซื้อทันทีอย่างเด็ดขาด  เมื่อการซื้อขายสำเร็จบริบรูณ์
   2.สัญญาจะซื้อจะขาย  คือ  สัญญาที่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อในขณะที่ทำสัญญาซื้อขายกัน  แต่เป็นสัญญาซึ่งจะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ  ในเวลาภายหน้าเป็นการแลกเปลี่ยนกับเงินอันเป็นราคาของทรัพย์สิน  มีผลผูกพันให้แก่คู่สัญญาต้องทำการซื้อขายให้สำเร็จตลอดไป
EditRegion3
 
นางชมบุญ ลาภอุปถัมภ์
นายลือเดช บุญโยดม
นายกิตติศักดิ์ แสวงสุข
page counter